🧐Risk, then, is not just a part of life. Its life -Nick Vujicic
ความเสี่ยงไม่ได้ใช่ “ส่วนหนึ่ง”ของชีวิตแต่ ”เป็น” ชีวิต
คำกล่าวของนักพูดผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งคงไม่เกินจริง เพราะชีวิตเราต่างรอบล้อมไปด้วยความเสี่ยงคำนี้ในความคิดของหลายคนเป็นคำเชิงลบ แต่รู้หรือไม่ว่าความหมายของคำนี้จริงๆแล้วคืออะไร
📚ยกตัวอย่างเช่น นาย A อยากมีผลตอบแทน 10% ต่อปี แต่อย่างที่ทุกคนรู้ เศรษฐกิจมีความผันผวนไม่ได้เคลื่อนที่เป็นเส้นตรงตลอดเวลา นั่นหมายความว่าอาจมีโอกาสที่ นาย A ประสบกับปัญหาวิกฤตทำให้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ หรือพบ นาทีทอง เสกให้เป็นหนุ่มร้อยล้านบ้านพันล้าน ผลตอบแทนพุ่งรุ่งโรจน์กว่าที่คิดไว้
สรุปได้ว่า ความเสี่ยงอาจเป็นได้ทั้ง ความเสี่ยงที่จะได้ผลที่แย่กว่าที่คาด 🔻 หรือ ความเสี่ยงที่จะได้ ”ผลดีเกินขาด”🔺
แน่นอนว่าความเสี่ยงด้านผลดีเกินว่าที่คาด เป็นสิ่งที่พวกเราต่างต้องการ แล้วความเสี่ยงอีกฝั่งที่ใจอยากจะกด delete ออกจากสารระบบ แต่ของทั้ง 2 อย่างมาคู่กันเราควรจะจัดการอย่างไร?
วันนี้นะคะ จะพามารู้จัก 4 วิธีการจัดการความเสี่ยงกันค่ะ ( 4 Types of Risk Management)
อันนี้คือการลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ถือเป็นการผสมระหว่าง
การรับความเสี่ยง( เสี่ยง 100 รับไว้ = 100) กับ เลี่ยงความเสี่ยง(เลือกที่จะไม่รับความเสี่ยง = 0)
👉🏻ยกตัวอย่างเรื่องใกล้ตัวเช่น ความเสี่ยงด้านสุขภาพ การลดความเสี่ยง คือ การออกกำลังกาย กินอาหารที่ดี นอนหลับพักผ่อน หรือหากเป็นเรื่องการลงทุน ก็จะทำการกระจายการลงทุนไปหลากหลายสินทรัพย์เพื่อลดความเสี่ยง
แต่ทั้งนี้วิธีลด ก็ยังมีโอกาสที่จะต้องรับความเสี่ยงไว้ด้วยนะคะ แต่รับผลน้อยลง จาก 100 อาจเป็น 50 60 แล้วแต่ทางเลือก
การรับความเสี่ยงไว้( เสี่ยง 100 รับไว้ = 100)
ยกตัวอย่าง ปากกา 15 บาท มีคำถามคือ
คุณจะซื้อประกันปากกาหรือไม่ ? เพราะอะไร ?
คำถามต่อไปถ้าเปลี่ยนเป็น ปากกา Apple Pencil ราคา 3000 คุณจะซื้อประกันปากกาหรือไม่ ? เพราะอะไร ?
บางคนยอมจ่ายเงินซื้อประกันเพราะความเสี่ยงที่ต้องรับไว้มูลค่า 3000 บาทต่อบทบาทของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นสำหรับคนที่มองว่าผลกระทบ 3000 บาทถือว่าน้อย ไม่แปลกที่จะไม่ทำประกัน
วิธีนี้จะเป็นตัวเลือกแบบพื้นฐาน เหมาะสำหรับความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย ผลกระทบน้อย
วิธีเลี่ยงตรงข้ามกับวิธีรับไว้อย่างสิ้นเชิง(เลือกที่จะไม่เสี่ยงกับเรื่องนี้เลย= 0) ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือ
ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น
แต่ต้องขอบอกก่อนว่าไม่ใช่ทุกความเสี่ยงที่จะใช้วิธีนี้ได้ ยกตัวอย่างเช่น ความเสี่ยงเรื่องชีวิต ที่เราไม่สามารถเลี่ยงความเสี่ยง หรือ เลี่ยงความตายได้นั่นเอง
วิธีโอนนี้ คือการที่เราโอนความเสี่ยงที่มี 100 นี้ให้กับบริษัทที่รับความเสี่ยง 100นี้ให้กับเรา (Third Party) นั่นก็คือบริษัทประกันที่คุ้นเคยนั่นเอง
โดยค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายจะเรียกว่าเบี้ยประกัน แล้วถ้าเกิดเหตุการณ์ตรงตามเงื่อนไขจะได้รับเป็นค่าสินไหม ซึ่งส่วนใหญ่แล้วความเสี่ยงที่ใช้วิธีนี้มักจะเป็น ความเสี่ยงมีโอกาสเกิดขึ้นน้อย และมีผลกระทบมาก เช่น ประกันอัคคีภัย ประกันรถยนต์ ประกันชีวิตเป็นต้น